วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เบาหวาน:อินซูลิน


อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ตับอ่อนสร้างขึ้น และจำเป็นในการนำน้ำตาลในเลือด ไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย ที่ต้องการพลังงาน แต่ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน การสร้างเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือด ที่ได้จากการเปลี่ยนแปลงจากอาหาร ไปใช้ให้เป็นพลังงานได้อย่างเต็มที่ เพราะขาดฮอร์โมนอินซูลิน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีโรคแทรกซ้อนง่าย เช่น โรคติดเชื้อ เป็นแผลหายยาก โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต และโรคตา

เมื่อไรถึงต้องใช้อินซูลิน
ผู้ป่วยเบาหวานที่ตับอ่อนสร้างอินซูลินไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
ผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคแทรกซ้อนทางตับ ไต และรักษาโดยยาชนิดรับประทานไม่ได้ผล
ชนิดของอินซูลิน
1.อินซูลินวัว มาจากตับอ่อนของวัว
2.อินซูลินหมู มาจากตับอ่อนของหมู
3.อินซูลินหมูและวัว เป็นอินซูลินที่ได้จากส่วนผสมของตับอ่อนหมูและวัว
4.อินซูลินคน ได้จากกระบวนการชีวเคมีสังเคราะห์ หรือวิธีพันธุวิศวกรรมทางชีวสังเคราะห์ จึงสามารถทำให้เหมือนอินซูลินในร่างกายคนได้ (อินซูลินคน มีความบริสุทธิ์มากที่สุด และเกิดอาการแพ้ เนื่องจากภูมิต้านทานทางฤทธิ์ของยา น้อยกว่าอินซูลินชนิดอื่น)
ลักษณะของอินซูลิน
อินซูลินใส จะเหมือนน้ำบริสุทธิ์ ไม่มีสี เป็นยาที่ให้ผลรวดเร็ว หลังฉีดประมาณ 30 นาที มีช่วงเวลาออกฤทธิ์เพียง ชั่วโมง (โดยประมาณ)
อินซูลินขุ่น จะมีตะกอนเล็กๆ แขวนลอยอยู่ ออกฤทธิ์นานประมาณ 16 – 20 ชั่วโมง
ทำไมต้องใช้อินซูลินโดยวิธีฉีด

หากผู้ป่วยได้รับอินซูลิน โดยการรับประทาน ตัวยาจะถูกทำลาย โดยน้ำย่อยในระบบทางเดินอาหาร จึงต้องใช้วิธีฉีดเข้าร่างกายโดยตรง ซึ่งปัจจุบัน ปากกาฉีดอินซูลิน ได้มีการพัฒนา ให้ใช้สะดวก เกิดความเจ็บปวดขณะฉีดน้อยลง มีความแม่นยำสูง ผู้ป่วยไม่กลัวการฉีดอินซูลินอีกต่อไป

วิธีฉีด ปกติจะฉีดใต้ผิวหนัง แต่ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำ จากแพทย์อย่างเคร่งครัด
การเตรียมยา

ตรวจดูลักษณะยา ถ้าเป็นชนิดน้ำใส ต้องไม่หนืด ไม่มีสี ถ้าเป็นชนิดน้ำขุ่นแขวนตะกอน ให้คลึงขวดยาบนฝ่ามือทั้งสองข้างเบาๆ เพื่อให้ยาผสมกันทั่วทั้งขวด ห้ามเขย่าขวดอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดฟอง
ถ้าผู้ป่วยใช้อินซูลิน น้ำขุ่นและน้ำใสในเวลาเดียวกัน ให้ดูดยาชนิดน้ำใสก่อนเสมอ เพราะสามารถสังเกตได้ หากอินซูลินน้ำใสมีลักษณะเปลี่ยนไป เมื่อดูดยาสองชนิดผสมในเข็มเดียวกัน ควรฉีดทันทีหรือภายใน 15 นาที เพราะหากทิ้งไว้นาน จะทำให้การออกฤทธิ์ของยาเปลี่ยนไป
ฉีดอินซูลินตรงไหนดี

ฉีดได้ทั้งบริเวณ หน้าท้อง หน้าขาทั้ง ข้าง สะโพก ต้นแขนทั้ง ข้าง ที่สำคัญ ต้องใช้แอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาด และเมื่อดึงเข็มออก ให้ใช้สำลีกดเบาๆ ห้ามนวดตรงที่ฉีด ในการฉีดครั้งต่อไป ควรฉีดห่างจากจุดเดิม นิ้ว และควรฉีดบริเวณเดียวกัน ให้ทั่วก่อนไปฉีดบริเวณอื่น
ห้ามฉีดซ้ำที่เดิมมากกว่า ครั้ง / 1 - 2 เดือน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานง่ายต่อการติดเชื้อ ควรรักษาอนามัยส่วนตัวให้สะอาด โดยเฉพาะฟันและเท้า ถ้ามีบาดแผล รอยข่วน หรือแผลเปื่อย ยิ่งต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ
อาการข้างเคียงและข้อควรปฏิบัติ
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นผลจากการให้อินซูลินมากเกินไป รับประทานอาหารน้อยเกินไป ผิดเวลา หรือช่วงระหว่างมื้อนานเกินไป ออกกำลังกาย หรือทำงานมากกว่าปกติ จะมีอาการปวดหัว เหงื่อออก ใจสั่น กระสับกระส่าย อ่อนเพลีย ชาในปากหรือริมฝีปาก เดินเซ หงุดหงิด มองภาพไม่ชัด ถ้ามีอาการเหล่านี้ให้ดื่มน้ำผลไม้ หรือรับประทานของที่มีน้ำตาลผสม (ห้ามใช้น้ำตาลเทียม) และพบแพทย์ทันที
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เป็นผลจากการได้รับอินซูลินไม่เพียงพอ หรือรับประทานมากเกินไป จะปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ หิว ปวดหัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ มึนงง ถ้าเป็นลม ให้นำส่งโรงพยาบาลทันที
ข้อควรระวังในการใช้

ก่อนใช้อินซูลินควรบอกแพทย์ หากเคยมีประวัติแพ้อินซูลินที่ทำจากหมูหรือวัว กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร รวมทั้งผู้เป็นโรคต่อมไทรอยด์ โรคตับ โรคไตและโรคติดเชื้อ นอกจากนี้ หากกำลังใช้ยาอื่นอยู่ ต้องแจ้งแพทย์และเภสัชกร ห้ามรับประทานยาแก้หวัด หรือยาภูมิแพ้ที่มีน้ำตาล และแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ โดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
ผู้ป่วยเบาหวาน ควรมีบัตรประจำตัวระบุชื่อนามสกุล ชื่อแพทย์ประจำตัว เบอร์โทรศัพท์ ชื่อชนิดและขนาดของอินซูลินที่ใช้ พกติดตัวเสมอ
เคล็ดลับเก็บรักษา

ตามปกติเก็บอินซูลินที่อุณหภูมิ 2 – 8 องศาเซลเซียส เก็บได้นานเท่ากับอายุยาข้างขวด แต่สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง (ประมาณ 25 องศาเซลเซียส) ได้นานประมาณ เดือน อินซูลินที่เก็บในอุณหภูมิสูง เช่น กลางแดดจัด หรือที่อุณหภูมิต่ำมากๆ เช่น ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น ไม่ควรใช้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากยาเสื่อมคุณภาพ
ผู้ป่วยเบาหวาน นอกจากการรับอินซูลินตามแพทย์สั่งแล้ว ควรหมั่นออกกำลังกาย ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด และอย่าลืมทำจิตใจให้สบาย เพียงเท่านี้สุขภาพของท่าน ก็จะดีวันดีคืนขึ้นได้ 

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เบาหวาน


เบาหวาน
เบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ อันส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกิน โรคเบาหวานจะมีอาการเกิดขึ้นเนื่องมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่างเหมาะสม ซึ่งโดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลในการทำลายหลอดเลือด ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้โรคเบาหวานนี้เปรียบเทียบได้ง่ายๆ โดยเปรียบร่างกายเราเป็นระบบปั๊มน้ำ และน้ำในระบบก็คือเลือดของเราโดยปรกติแล้วปั๊มน้ำก็จะทำงานอย่างปรกติ แต่เมื่อมีการทำให้น้ำในระบบเกิดความข้นขึ้น(ก็คือการเติมน้ำตาลลงไปในน้ำ) น้ำในระบบก็จะมีความหนืดขึ้น ปั๊ม(หัวใจ)ก็จะต้องทำงานหนักขึ้น ท่อน้ำ(หลอดเลือด)ก็ต้องรับแรงดันที่มากขึ้น ดังนั้นคนที่เป็นโรคเบาหวานก็จะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนกับอวัยวะต่างๆเพิ่มขึ้นได้
ปี 2550 พบผู้ป่วยเบาหวานแล้วถึง 246 ล้านคน โดยผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย
เบาหวาน เป็นโรคที่เป็นกันมากขึ้นทุกปีจนมีการกำหนดให้วันที่ 14 พฤษจิกายน ของทุกปีเป็นวันเบาหวานโลกเพื่อให้มีการรณรงค์ป้องกันให้เป็นที่แพร่หลายขึ้น

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

ขนมปังธัญพืช


สมัยนี้คนเราระวังสุขภาพกันมากกว่าเมื่อ30 ปีที่ผ่านมา เพื่อนๆชอบซื้อขนมปังธัญพืชมากินกัน ซึ่งหาซื้อได้ทั่วไป บางร้านก็ใส่ธัญพืชมาก บางร้านก็ใส่น้อย และที่เราเรียกกันว่าขนมปัง Whole Wheat ก็ใส่แป้งโฮลวีทซึ่งไม่ขัดขาวเพียงนิดเดียว
ถ้าอยากกินธัญพืชมากๆ ต้องลองทำเองคะ ก่อนลงมือทำก็ไม่ต้องกังวลใจว่าขนมปังทำยาก ต้องลองทำเองดูก่อน ธัญพืชที่ใส่นี้ ก็ไม่ใช่ลูกเดือย ถั่วเขียวนะคะ แต่ต้องเป็นธัญพืชเม็ดเล็ก ดูย่างเช่น งาดำ งาขาว วีทเจิร์ม (ปลายจมูกขาวสาลี) ขาวโอ๊ต ป็อปปี้สีด (poppy seed) เมล็ดทานตะวัน (อบก่อน) ชอบอะไรหรือมีอะไร ก็ใส่ตามชอบ แต่ต้องอยู่ในปริมาณสัดส่วนที่บอกไว้
ข้อสำคัญ พยายามคงสัดส่วนของแป้งต่อน้ำในสูตรนี้ไว้ โอกาสพลาดจะมีน้อยมากหรืออาจจะไม่พลาดเลย อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ คือ ยีสต์ ถ้าจำไม่ได้ว่าซื้อมาเมื่อไรและยังใช้ได้หรือไม่ ต้องทดลองดูก่อน ถ้าใช้ไม่ได้ต้องเททิ้ง หายีสต์ใหม่ ไม่อย่างนั้นแป้งโดจะไม่ขึ้น
เครื่องตีต้องใช้หัวตีแบบขด ถ้าไม่มีก็ใช้มือนวด แต่ต้องใช้เวลานานสักหน่อย และต้องนวดจนเนื้อเนียน มือใหม่อาจจะยากสักนิด และมักจะเติมแป้งไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ติดมือ ต้องระวังนะคะ ถ้าไม่แน่ใจ แป้งเหลวนิดหน่อยดีกว่าแป้งแข็ง เริ่มแรกใช้พายช่วยผสมในอ่างผสมก่อน ใส่น้ำทีละน้อย พอเริ่มเข้ากันได้ดีและเริ่มเหนียว ก็นำออกมานวดบนโต๊ะจนเนียน


ขนมปังธัญพืชนี้ก็เหมือนขนมปังขาวที่บ้านเราขายหรือกินกันทั่วไป กินขนมปังขาวอย่างไรก็กินขนมปังธัญพืชอย่างนั้น เพียงแต่ขนมปังธัญพืชนี้เนื้อจะแน่นหนัก ไม่โปร่ง ทำแซนด์วิชได้ตามที่ชอบ หรือทำ Croque Monsieur และ Croque Madame ซึ่งถือว่าเป็นแซนด์วิชประจำชาติของฝรั่งเศสก็ได้ ทำง่ายมาก แต่ใส่ชีสมากสักหน่อย หรือทำ Reuben Sandwich แซนด์วิชของคนอเมริกันก็ได้ โดยทั่วไปแซนด์วิชนี้ใช้ขนมปังไรย์ (rye bread) ทำ แต่ลองใช้ขนมปังธัญพืชจะอร่อยกว่า เวลาเสิร์ฟต้องผ่าเฉลียงให้เห็นเนื้อและชีสที่ใส่ไว้ จึงจะดูน่ากิน ส่วนใครชอบกินขนมปังปิ้งทาแยมทับเนยตอนเช้า ก็จะ อิ่มอร่อยอยู่ท้องกว่าขนมปังขาว
ขนมปังที่เราทำเองนี้ไม่ได้ใส่สารทันบูด จึงเก็บนอกตู้เย็นได้ไม่เกิน 2 วัน ต้องใส่ตู้เย็นไว้ วิธีเก็บที่ดีที่สุดคือ หั่นเป็นชิ้นตามชอบ ห่อด้วยพลาสติกใสแล้วใส่ช่องแช่แข็งไว้ พอจะกินก็นำออกมาอบทังๆ ที่ยังแข็งอยู่ ไม่ต้องรอให้นิ่ม รสชาติจะเหมือนเมื่ออบใหม่เลย เก็บไว้กินได้หลายวัน จริงๆ อย่างใจนึก คราวนี้ก็ได้กินขนมปังธัญพืชสมชื่อและมีธัญพืช จริงๆอย่างใจนึก


credit samonpri.blogspot.com

ปลาแซลมอน


หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมปลาแซลมอนถึงหายาก… นั่นคงเป็นเพราะแซลมอนมีชีวิตที่ไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าแซลมอนจะเป็นปลาทะเลในเขตหนาวจัด (Cold-Water Fish) ก็จริง แต่เมื่อถึงเวลาที่จะให้กำเนิดแซลมอนรุ่นใหม่แล้ว มันจะต้องว่ายทวนกระแสน้ำจากท้องทะเล กระโดดข้ามเกาะแก่งมากมาย เพื่อกลับขึ้นไปวางไข่ในแหล่งน้ำบริสุทธิ์ที่ตัวเองเกิด ซึ่งบรรพบุรุษของแซลมอนแต่ละตัวได้เลือกเอาไว้แล้วเท่านั้น และต้องใช้เวลาเดินทางมากกว่า 1 เดือนเป็นระยะทางไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร โดยไม่ได้กินอาหารเลย แต่จะใช้ไขมันที่สะสมในช่วงที่มีชีวิตอยู่ในท้องทะเลมาหล่อเลี้ยงชีวิตใน ช่วงนั้น ดังนั้นกว่าจะถึงจุดหมายจะสูญเสียน้ำหนักไปมากถึง 40%
“แซลมอน” ได้ชื่อว่าเป็นปลาจากแหล่งบริสุทธิ์ที่ไร้มลพิษและมีคุณค่ามากมาย เพราะระหว่างที่อยู่ในทะเล แซลมอนจะสะสมไขมันจากการกินแพลงตอนและสาหร่ายทะเล ซึ่งเป็นไขมันจำเป็นที่ร่างกายมนุษย์ต้องการแต่สร้างขึ้นเองไม่ได้ นั่นคือกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่เรียกว่า โอเมกา-3 ซึ่งมีประโยชน์มากมายต่อมนุษย์
เชื่อกันว่า ปลาทะเลเขตหนาวของมหาสมุทรแอตแลนติก (หรืออลาสก้าของประเทศสหรัฐอเมริกา) จะมีโอเมกา-3 มากกว่าในเขตร้อน โดยเฉพาะปลาแซลมอนจัดว่าเป็นปลาที่มีโอเมกา-3 สูงกว่าปลาทะเลชนิดอื่นๆ ซึ่งกรดไขมันโอเมกา-3 นี้จะประกอบไปด้วยกรด EPA และ DHA
คุณประโยชน์ของโอเมก้า-3 ที่ได้จากปลาแซลมอน
- สามารถลดคอเรสเตอรอลและไขมันที่ชอบสะสมตามผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ
และหลอดเลือด
- ชะลอการปวดบวมของโรคกล้ามเนื้ออักเสบและโรครูมาตอยด์ ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังและทำให้
ข้อพิการ
- ลดการเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งสำไส้ใหญ่ เป็นต้น
- ช่วยลดความดันโลหิต เมื่อรับประทานเป็นประจำ กรด DHA จะช่วยพัฒนาสมอง สายตา
ความจำและการเรียนรู้
- ช่วยระงับอารมณ์ ยับยั้งอาการป่วยและความห่อเหี่ยวทางจิตใจ ซึ่งมีผลมาจากสมอง
- ลดอาการเย็นของมือและเท้าในผู้ป่วยโรคเรย์นอค
การ รับประทานปลาแซลมอนจึงมีคุณค่าทางโปรตีนสูง ส่วนไขมันและคอเรสเตอรอลนั้นต่ำมาก และยังสามารถทดแทนสารอาหารที่ได้จากเนื้อวัว เนื้อหมู และสัตว์อื่นๆ นอกจากนี้นักวิจัยชาวออสเตรเลียยืนยันมาว่าหากรับประทานบ่อยครั้ง จะช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย

10 วิธีช่วยให้หลับสบาย


1.กำหนดตารางเวลานอน เช่น เข้านอนไม่เกินสี่ทุ่ม และตื่นนอนประมาณ ตีห้า ฝึกทำเช่นนี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นเวลาทำงานหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ซึ่งหากปฏิบัติเช่นนี้จะดีต่อสุขภาพทั้งผู้ที่อยู่ในวัยทำงานและวัยเรียน โดยท่านจะสามารถตื่นนอนเวลาเดียวกันทุกวันได้แบบไม่ต้องอาศัยนาฬิกาปลุก
2.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มมากเกินไปก่อนนอน  ควรรับประทานอาหารมื้อเย็นก่อนเวลานอนประมาณ 2 ชั่วโมง และหากดื่มเครื่องดื่มมากเกิรไปก่อนนอน จะทำให้ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำบ่อย นอกจากนี้ยังไม่ควรรับประทานอาหารตอนดึก หากรู้สึกหิวให้รับประทานขนมปังหรืออาหารที่มีกรดอะมิโนทริปโตเฟน เช่น นมอุ่น ๆ กล้วย หรือ ธัญพืช เป็นต้น โดยอาหารเหล่านี้จะสร้างเซโรโทนิน ซึ่งช่วยให้หลับได้ดีขึ้น
3.หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่  เพราะจะทำให้มีปัญหาทั้งต่อการนอนหลับและตื่นรวมทั้งหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มทั้งหลายที่มีคาเฟอีนผสม เพราะคาเฟอีนจะทำให้ระดับอะดรีนาลีนในเลือดสูง ซึ่งจะเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้ปัสสาวะบ่อย และมีการสร้างกรดในกระเพาะอาหารสำหรับผู้ที่อดไม่ได้ก็ควรปรับปริมาณกาแฟที่ดื่ม เช่น ดื่มกาแฟตอนเช้าแทนที่จะดื่มก่อนนอน
4.การออกกำลังกาย  ช่วงเวลาที่ดีที่เหมาะกับการออกกำลังกายคือ ช่วงบ่าย เพราะจะทำให้นอนหลับได้ดี โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิกจะช่วยให้หลับได้ดี และรู้สึกสดชื่นซึ่งการออกกำลังกายที่ถูกต้องควรทำก่อนนอนไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง เพราะจะช่วยให้นอนหลับได้ดีกว่า
5.รักษาอุณหภูมิห้องนอนให้เย็นและเหมาะกับการนอน โดยใช้เครื่องปรับอากาศหรือพัดลมห้องนอนที่เย็นหรือร้อนจนเกินไปจะทำให้นอนไม่หลับ ห้องนอนที่มีอุณหภูมิเย็นสบายจะช่วยให้นอนหลับได้ดี
6.หลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับหรือหลับได้น้อยลงในเวลากลางคืนสำหรับคนที่ทำงานในเวลากลางคืนเวลานอนจะตรงกันข้ามกับคนทั่วไป กรณีเช่นนี้ก็ต้องปรับสภาพแวดล้อมของห้องนอนให้มืด เพื่อแสงแดดจะได้ไม่รบกวนการนอน
7.ทำห้องนอนให้เงียบ (อย่าใช้ห้องนอนเป็นห้องทำงานหรือห้องอ่านหนังสือ) เช่น ปิดวิทยุและทีวีก่อนนอน บางคนอาจมีความเคยชินกับการนอนหลับหน้าทีวี ซึ่งความจริงควรจะปิดทีวีเมื่อเริ่มรู้ตัวว่าง่วงจะได้ประหยัดพลังงาน และค่าไฟฟ้า และหากมีเสียงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น คู่นอนกรน เสียงจากเครื่องบิน รถไฟ เครื่องปรับอากาศเก่า ขอแนะนำให้ใช้ที่อุดหู แต่สำหรับบางคนการทำสมาธิจะช่วยได้มาก
8.จัดที่นอนให้เหมาะกับตัวเอง เช่น บางคนต้องการที่นอนที่นุ่ม หรือบางคนต้องการที่นอนที่แข็งรวมทั้งจัดห้องนอน เพื่อวัตถุประสงค์สำหรับการนอนเท่านั้น เข้านอนเมื่อรู้สึกเหนื่อยและอยากนอนรวมทั้งปิดไฟเพื่อกระตุ้นให้หลับเร็วขึ้น
9.อาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่นก่อนนอน จะทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและหลับสบายขึ้น สังเกตได้จากผู้สูงอายุบางคนที่ให้ลูกหลานนวดแล้วจะนอนหลับคาเตียงนวด
10.หลีกเลี่ยงการรับประทานยานอนหลับ  หากมีปัญหาการนอนหลับและต้องพึ่งยานอนหลับควรปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากยาบางอย่างจะมีปฏิกิริยาต่อกันอาจสร้างปัญหาอื่นขึ้นมาอีก และต้องระลึกเสมอว่าไม่ใช้ยานอนหลับร่วมกับแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด

10 อาหารคลายความเครียด


  1. กล้วย กล้วยอุดมด้วยโพแทสเซียม และเกลือแร่ต่าง ๆ ที่ช่วยลดความตึงเครียด ในกล้วยยังมีทริปโตเฟน และกรดอะมิโนที่ช่วยหลั่งสารแห่งความสุข รวมทั้งสารเมลาโทนินในกล้วยยังช่วยให้หลับสบายอีกด้วย
  2. ผักขมและบล็อกโคลี่ ผักที่มีสีเข้มเช่น ผักขมหรือบล็อกโคลี่ เต็มไปด้วยวิตามินที่ช่วยคลายความเครียด ทั้งผักขมและบล็อกโคลี่ยังอุดมด้วยแมกนีเซียม และเกลือแร่ต่าง ๆ ที่ช่วยให้ร่างกายและจิตใจสงบลง รวมทั้งยังเต็มไปด้วยวิตามินบี และกรดโฟลิก ที่ช่วยคลายเครียด คลายความวิตกกังวลลงได้
  3. นมและโยเกิร์ต เต็มไปด้วยแคลเซียมและวิตามินดี ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อระบบประสาท และยังประกอบด้วยทริปโตเฟนที่ช่วยทำให้สงบลง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดื่มนมวันละแก้วก่อนเข้านอน
  4. ปลา ดังเช่นปลาทูน่าหรือปลาแมคเคอเรล เต็มไปด้วยโอเมกา 3 ที่ช่วยหลั่งสารอะดรีนาลีนเมื่อคุณรู้สึกหัวหมุน และช่วยป้องกันโรคหัวใจที่เกี่ยวเนื่องกับความเครียด ปลายังเต็มไปด้วยวิตามินบี ได้แก่ บี 6 และ บี 12 ที่ช่วยเพิ่มสารแห่งความสุขในสมอง และปลายังอุดมด้วยโคลีนที่ดีต่อระบบความจำอีกด้วย
  5. ถั่ว ช่วยคลายเครียด ช่วยหลั่งสารแห่งความสุข และยังอุดมไปด้วยวิตามินบี วิตามินอี แมกนีเซียม และสังกะสี ที่ช่วยคลายความเครียดลง วิตามินอีช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เกี่ยวเนื่องกับความเครียดและโรคหัวใจ
  6. บลูเบอรี่ เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญเต็มไปด้วยวิตามินซีช่วยคลายความเครียดลงได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันเซลล์ถูกทำลาย และป้องกันร่างกายจากผลกระทบของความเครียด
  7. ไก่งวง และเนื้อไก่ แหล่งอุดมด้วยกรดอะมิโนและทริปโตเฟนที่ช่วยให้สงบลง ช่วยให้ผ่อนคลาย โดยเฉพาะหากนอนหลับหลังรับประทานเนื้อไก่ หรือไก่งวง นอกจากนี้ไก่งวงยังเต็มไปด้วยโปรตีน ที่ช่วยรักษาระดับของน้ำตาลในร่างดาย และช่วยคลายความเครียดได้
  8. ส้ม ส้มและผลไม้ที่ให้รสเปรี้ยวนั้นอุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยลดความเครียดลง ร่างกายของเรานั้นไม่สามารถที่จะสร้างวิตามินได้เอง ดังนั้นจึงต้องรับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป วิตามินซีจากอาหารช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
  9. แอพริคอทแห้ง เต็มไปด้วยแมกนีเซียม ที่จำเป็นต่อระบบประสาทของร่างกายและช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ นอกจากนี้แอพริคอทยังเต็มไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  10. ธัญพืช เต็มไปด้วยวิตามินบี เกลือแร่ เช่น แมกนีเซียม โพแทสเซียม และแคลเซียม โปรตีนและไฟเบอร์ สารอาหารเหล่านี้ช่วยคลายความเครียด ทำให้ผ่อนคลาย ร่างกายและจิตใจสงบลง และให้พลังงานจากการรักษาระดับน้ำตาลภายในร่างกายให้คงที่
ข่าวจาก: health24

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง



  1. ช่วยคลายความเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลียจากการตรากตรำทำงานหนัก เล่นกีฬา อดนอน หรือดื่มสุรา
  2. ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยระยะพักฟื้น
  3. บำรุงประสาทและสมองให้สดชื่น แจ่มใส
  4. ช่วยระงับประสาท อาการหงุดหงิด นอนไม่หลับ แก้ตะคริว
  5. บรรเทาอาการไอ และหวัด
  6. ลดกรดในกระเพาะ ช่วยให้อาหารย่อยดีขึ้น ท้องไม่ผูก เนื่องจากน้ำผึ้งถูกดูดซึมได้ทันที เมื่อสัมผัสลำไส้ ต่างจากน้ำตาลชนิดอื่นที่คงค้างอยู่ และถูกเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์หรือกรด
  7. แก้เด็กปัสสาวะรดที่นอน เนื่องจากน้ำผึ้งมีน้ำตาลฟรุกโตส ซึ่งมีคุณสมบัติดูดความชื้นได้ดีกว่าน้ำตาลชนิดอื่น จึงสามารถดูดน้ำกลับและอุ้มน้ำไว้ ทำให้เด็กไม่ปัสสาวะรดที่นอน
  8. แก้โรคโลหิตจาง เนื่องจากน้ำผึ้งมีธาตุเหล็กซึ่งเป็นองค์ประกอบของฮีโมโกลบิน ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดแดง
  9. แก้ความดันโลหิตสูง   
จากคุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง รวมทั้งรสหวานตามธรรมชาติและกลิ่นรสเฉพาะตัว จึงนิยมนำน้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมในอาหารต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าและให้รสหวาน เช่น
  • ผสมในเครื่องดื่มต่าง ๆ ได้แก่ ชากาแฟนมโยเกิร์ตน้ำมะนาว หรือในต่างประเทศจะนำไปทำเบียร์หรือไวน์
  • ผสมในขนมอบและขนมหวานต่าง ๆ คุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของน้ำผึ้งในขนมปัง คือ น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลฟรุกโตส ซึ่งมีคุณสมบัติดึงความชื้นไว้ได้นาน ดังนั้นขนมปังหรือขนมที่ผสมน้ำผึ้งจะนิ่มอยู่นานกว่าใช้น้ำตาลทรายธรรมดา หลังจากนำออกจากเตาอบแล้ว
  • ผสมในผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธัญญพืชเป็นอาหารเช้า หรือผสมในอาหารเด็กอ่อน
  • ทำเป็นสเปรด (spreads) สำหรับทาขนมปัง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนผสมในยา เพื่อเพิ่มความคงตัวและมีรสหวานรับประทานง่าย รวมทั้งมีประโยชน์ทางยา

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

กระหล่ำปลี สมุนไพรต้านมะเร็ง


        “กะหล่ำปลี” เป็นผักสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ให้คุณค่า หากินง่ายในบ้านเรา กะหล่ำปลีมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปยุโรป โดยชาวกรีกเป็นชนชาติแรกที่เริ่มปลูกกะหล่ำปลี ผักชนิดนี้มีประโยชน์ตรงที่เป็นพืชที่ให้วิตามินซีสูง แถมยังอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสสำหรับสร้างกระดูก คนในสมัยโบราณใช้กะหล่ำปลีเป็นยา ว่ากันว่ากะหล่ำปลีช่วยสลายหนองจากแผลและมะเร็ง ดังนั้นกะหล่ำปลีจึงถูกใช้เป็นยาครอบจักรวาลในประวัติศาสตร์โรมัน
       ปัจจุบันมีคนให้ความสนใจเกี่ยวกับสมุนไพร โดยเฉพาะกะหล่ำปลีกันมากเนื่องจากมีการทดลองหลายอย่างที่แสดงให้เห็นว่ากะหล่ำปลีมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ เช่น มีการทดลองให้หนูกินพืชตระกูลกะหล่ำหลายชนิด แล้วจึงฉีดสารก่อมะเร็งเข้าในตัวหนู พบว่า หนูส่วนใหญ่ไม่เป็นมะเร็ง และจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่าน้ำคั้นจากกะหล่ำ สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในลำไส้
      จากผลวิจัยเหล่านี้ทำให้เชื่อกันว่า การบริโภคสมุนไพร กะหล่ำปลีมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ชายลงถึง 66% กินกะหล่ำปลีปรุงสุกวันละ 2 ช้อนโต๊ะป้องกันมะเร็งในช่องท้อง และการกินกะหล่ำปลีสดก็จะดีกว่ากะหล่ำปลีสุกอีกด้วยเพราะจะไม่สูญเสียวิตามินไปกับความร้อนมากนัก
     แต่ในบ้านเรา กะหล่ำปลีถือเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีการใช้ยาฆ่าแมลงไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นก่อนกินต้องแน่ใจว่าล้างสะอาดปราศจากสารพิษแล้ว


credit samonpri.blogspot.com

ขมิ้นชัน สรรพคุณมากมี



สมุนไพร ขมิ้นชันสมุนไพรขมิ้นชันอีกหนึ่ง สมุนไพรไทย ที่มีสรรพมากมายเหลือเกิน คุณผู้หญิงส่วนใหญ่นิยมนำ ขมิ้นชัน มาใช้ในการขัดผิว เพื่อให้ผิวพรรณดูสดใสนวลเนียนและขาวขึ้น แต่ คุณประโยชน์ของขมิ้นชัน ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะ สมุนไพรไทยขมิ้นชัน นั้น ยังมีประโยชน์และสรรพคุณนานา มาดูกันเลยดีกว่า

สรรพคุณ
ผลงานการวิจัย
1.จากการทดลองกับผู้ป่วยโรคท้องอืดท้องเฟ้อในโรงพยาบาล6แห่งจำนวน 160 คน โดยรับประทานครั้งละ2แคปซูลวันละ 4 ครั้ง และการทดลองในผู้ป่วยที่ปวดท้องเนื่องจากโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล รับประทานครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง (รวม 4 g) พบว่าได้ผลดี

2.การทดลองผลการรักษาแผลในกระเพาะอาหารในคน พบว่ารับประทานแคปซูลผงขมิ้น 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง พบว่า 5 คนหายใน 4 อาทิตย์ และ 7 คน หายใน 4-12 อาทิตย์

3.จากการทดลองรักษาแผลหลังผ่าตัด 40 ราย พบว่าให้ผลลดการอักเสบได้เหมือน phenylbutazone

4.การศึกษาในทางคลินิกเกี่ยวกับสรรพคุณในการรักษาโรคผิวหนังพุพอง (ตุ่มและหนอง พุพอง) ในผู้ป่วยเด็ก 60 ราย โรงพยาบาลยาสูบ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม เปรียบเทียบกับการใช้ยาปฏิชีวนะพบว่า ผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่มหายทุกรายภายใน 3 อาทิตย์หลังการรักษา ไม่พบความแตกต่างระหว่างการรักษาผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่ม และไม่พบผลแทรกซ้อนจากการใช้ขมิ้นรักษา

5.จากการศึกษาพบว่าขมิ้นมีผลต่อการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิตอีกด้วย โดยจะทำให้สายของโครมาติกแยกออกจากกันเกิดการแตกหักและถูกทำลายในที่สุด

6.การทดลองทางคลินิกในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องด้วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร โดยเปรียบเทียบกับการใช้ยาไตรซิลิเกต (trisilicate) ซึ่งเป็นยาลดกรดขององค์การเภสัชกรรมอาการดีขึ้นมากหลังรักษาด้วยขมิ้นชันครบ 12 สัปดาห์ จำนวน 15 รายคิดเป็น 60% หายเป็นปกติ 1 รายคิดเป็น 5.8% อาการดีขึ้นมากหลังรักษาด้วยยาไตรซิลิเกต (trisilicate) 5 รายคิดเป็น 50% และหายเป็นปกติ 4 รายคิดเป็น 40%

7.การทดลองในผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องและอาการอื่น ๆ ที่บ่งถึงภาวะแผลเปื่อยในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กโดยให้รับประทานขมิ้นแคปซูล 250 mg (2 แคปซูล) วันละ 4 ครั้งก่อนอาหารและก่อนนอน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ให้ผลการรักษาดีไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเลือด
8.การทดลองในผู้ป่วยโดยให้ขมิ้น 250 mg (2 แคปซูล) วันละ 4 ครั้งก่อนอาหารและก่อนนอน ทดสอบโดยการส่องกล้องในสัปดาห์ที่ 0,4 ,8 และ 12 สัปดาห์ หลังจากรักษาด้วยขมิ้นในผู้ป่วย 10 คน เป็นชาย 8 คน และ หญิง 2 คน อายุระหว่าง 16?60 ปี เป็นแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของแผล 0.5 ? 1.5 ซม. ได้รับขมิ้นชันครั้งละ 500 mg วันละ 4 ครั้ง หลังจากรักษาไปได้ 4 สัปดาห์ มี 5 คน ที่แผลหายและอีก 6 คน แผลหายในช่วงสัปดาห์ที่ 12

9. การทดลองในผู้ป่วยชาย 24 คนและหญิง 21 คน ให้รับประทานขมิ้นแคปซูล 300 mg (2 แคปซูล) 5 เวลา คือ ก่อนอาหาร ชั่วโมงที่ 16 และก่อนนอน หลังจากนั้น 4 สัปดาห์มี 12 ราย แผลหาย (48%) และในสัปดาห์ที่ 8 มี 18 รายแผลหาย (76%) และอีก 19 รายที่แผลไม่หายใน 12 สัปดาห์ มี 20 รายไม่พบแผลในกระเพาะอาหารแต่มีอาการปวดท้อง กระเพาะอาหารอักเสบและอาหารไม่ย่อย และยังพบอีกว่าอาการปวดท้องและไม่สบายท้องหายไป เมื่อให้ขมิ้นแคปซูลใน 1-2 สัปดาห์แรก และสามารถรับประทานอาหารได้ปกติแทนอาหารอ่อนได้ใน 4 สัปดาห์ ระดับสารต่าง ๆ ในเลือดของผู้ป่วย 54 คน ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

10.ขมิ้นชันไม่มีผลต่อตัวอ่อนไม่ลดการสร้างอสุจิ ไม่มีผลต่อการยับยั้งการตกไข่

11.การทดลองทางคลินิกแบบ randomized double-blind multicenter study เพื่อพิสูจน์ประสิทธิผลของขมิ้นชันในการรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ (dyspepsia) ในผู้ป่วยจำนวน 106 คน พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับขมิ้นชันครั้งละ 500 mg (มีปริมาณCurcuminiods 9.6 % และน้ำมันหอมระเหย 8%)วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7วัน มีอาการดีขึ้น ใกล้เคียงกับกลุ่มที่ได้รับยา flatulence และดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ

12.จากการทดลองของทีมนักเคมีโภชนาที่มูลนิธิสาธารณสุขอเมริกาในวัลฮาลลาที่นิวยอร์ค (The American Health Foundation, Valhalla, N.Y) พบว่าชาวเอเชียในบางท้องถิ่นเป็นมะเร็งลำไส้กันน้อย เมื่อลงไปศึกษาอาหารการกินที่เขากินกันพบว่าขมิ้นที่ชาวอินเดียใช้แก้ปวดท้องและอาการป่วยอื่น ๆ ซึ่งมีสาร Curcumin อยู่ออกฤทธิ์ในการป้องกันมะเร็งได้ซึ่งงานวิจัยนี้ได้ตีพิมพ์ในวารสาร Cancer Reseach (มกราคม 1995)

13.จากการทดลองพบว่าขมิ้นชันสามารถต้านอนุมูลอิสระในเม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยธาลัสซีเมียฮีโมโกบิลอี
ความเป็นพิษ
Curcumin นอกจากจะไม่เป็นพิษต่อเซลล์แล้ว ยังสามารถยับยั้งการเกิดก้อนเนื้องอกในระยะแรกและในระยะที่ 2 แต่ถ้าใช้ Curcumin ในปริมาณถึง 100 mg/kg จะเหนี่ยวนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งจะมีผลลดการหลั่ง mucin
การทดสอบความเป็นพิษในหนูขาว พบว่าทั้งขมิ้นและ Curcumin ในขนาดที่สูงกว่าที่ใช้ในคน 1.25?125 เท่า ไม่มีผลต่อการเปลี่ยน แปลงในด้านการเจริญเติบโตและระดับสารเคมีในเลือดไม่พบพิษเฉียบพลันในหนูเมื่อให้ขนาดต่าง ๆ


วิธีการใช้ตามภูมิปัญญาไทย

- ใช้เหง้าแก่ตากแห้งบดเป็นผง ขนาด 500 มก. ปั้นเป็นลูกกลอนกับน้ำผึ้งหรือใส่แคปซูล รับประทานวันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน
- ใช้ แง่งขมิ้นชันล้างสะอาดตำละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ เจือน้ำสุกเท่าตัวอาจเติมเกลือเล็กน้อยให้ทานง่ายขึ้น รับประทานครั้งละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-4 ครั้ง แก้ท้องร่วงแก้บิด
- ใช้เหง้าขมิ้นแก่สดฝนกับน้ำสุกหรือผงขมิ้นชันทาบริเวณที่เป็นฝี แผลพุพอง หรืออักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย
- เอาผงขมิ้นผสมกับน้ำฝนคนให้เข้ากันดีทาบริเวณที่เป็นกลากเช้าและเย็น
- ขูดเอาเนื้อที่หัวขมิ้นทาบริเวณที่ยุงกัด
- ผสมผงขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าว 2-3 ช้อนโต๊ะ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนคนจนน้ำมันกลายเป็นสีเหลืองใช้ใส่แผลสด
- ผสมขมิ้นกับน้ำปูนใสเล็กน้อยและผสมสารส้มหรือดินประสิวพอกบริเวณที่เป็นแผล แก้เคล็ดขัดยอกได้ด้วย


ข้อควรระวัง

1. การใช้ผงขมิ้นเป็นยารักษาโรคกระเพาะ ถ้าใช้ขนาดสูงเกินไปจะทำให้เกิดแผลในกระเพาะ
2. คนไข้บางคนอาจมีอาการแพ้ขมิ้น โดยมีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดหัว นอนไม่หลับ ให้หยุด
3.Curcumin จะมีฤทธิ์ลดการอักเสบ เป็นสัดส่วนกับขนาดที่ใช้จนถึงขนาด 30 มิลลิกรัม / กิโลกรัม เมื่อให้สูงกว่านี้ ฤทธิ์จะลดลง
4.ผู้ป่วยที่มีการอุดตันในท่อน้ำดี เช่น มีนิ่วควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ขมิ้นชัน
5.ระวังการใช้ในหญิงมีครรภ์ หากใช้ในปริมาณสูงจะทำให้เกิดการแท้งได้โดยเฉพาะระยะแรกของการตั้งครรภ์


credit samonpri.blogspot.com

สมุนไพรไทย เตยหอม


สมุนไพร”เตยหอม” มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปาแนะวองิง โดยจะเป็นชื่อเรียกในแถบประเทศมาเลเซีย และจังหวัดนราธิวาส
สรรพคุณของสมุนไพรไทย “เตยหอม” มีดังนี้ 
  • สามารถใช้บำรุงหัวใจ และสามารถทำให้ชุ่มคอแก้่อาการกระหายน้ำ โดยให้นำสมุนไพรใบเตยสดมาล้างให้สะอาด แล้วนำมาตำหรือปั่นให้ละเอียด เติมน้ำเล็กน้อยคั้นเอาแต่น้ำดื่ม และถ้าหากต้องการรสชาติที่ดีขึ้นสามารถผสมน้ำตาลเล็กน้อยได้
  • สามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะ และสามารถรักษาโรคเบาหวาน โดยให้นำรากสมุนไพรเตยหอมไปต้มน้ำดื่ม
  • สามารถรักษาโรคผิวหนัง โดยให้นำใบสมุนไพรเตยหอมมาตำพอกบริเวณที่เป็น
  • สามารถนำไปผสมอาหาร และสามารถใช้ดับกลิ่นได้อย่างดี
สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบเตย ก็รสชาติดีใช่ย่อยนะครับ


credit samonpri.blogspot.com

สมุนไพรไทยทองพันชั่ง


สมุนไพรไทยทองพันชั่ง
สรรพคุณสมุนไพรทองพันชั่ง
  • สามารถใช้รักษาโรคผิวหนังชนิดต่างๆ เช่น กลาก , เกลื้อน , ผดผื่นคัน เป็นต้น โดยให้ใช้ใบหรือรากสมุนไพรทองพันชั่ง ตำแช่ในเหล้าหรือแอลกอฮอล์ แล้วใช้ทาบริเวณที่มีอาการของโรคผิวหนัง
  • สามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะ โดยนำใบทองพันชั่งสดหรือแห้งมาชงดื่ม
  • สามารถใช้รักษาโรคแก้ไข้ข้ออักเสบ โดยให้นำใบทองพันชั่งมาต้มกับน้ำฝนดื่ม
  • สามารถใช้ดับพิษไข้ ลดความดัน แก้มะเร็งภายใน บำรุงธาตุ บำรุงร่างกายโดยการใช้รากทองพันชั่งมาต้มน้ำดื่ม
  • สามารถใช้รักษาโรคเบาหวาน โดยให้นำใบทองพันชั่ง ใบชุมเห็ดไทย เมล็ดพริกไทยร่อน ต้นเหงือกปลาหมอตากแห้ง นำมาบดเป็นผงละเอียด ผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน ขนาดเม็ดพุทรา รับประทานครั้งละ 5 เม็ด หลังอาหารเช้าเย็น ระยะเวลาสัก 1 เดือนกว่า
  • สามารถใช้รักษาโรค
  • สามารถรักษาอาการริดสีดวงทวารหนัก และฆ่าพยาธิ โดยการนำใบหรือรากทองพันชั่งประมาณ 1 กำมือ ต้มกินทุกเช้า-เย็นทุกวัน
credit samonpri.blogspot.com

สมุนไพรไทย ชุมเห็ดเทศ


สมุนไพรไทย ชุมเห็ดเทศ
สรรพคุณสมุนไพรไทย ชุมเห็ดเทศ มีดังนี้ 


  • สามารถใช้ขับปัสสาวะและช่วยรักษาอาการกระเพาะอาหารอักเสบ โดยให้นำชุมเห็ดเทศมาต้มน้ำกิน
  • สามารถใช้แก้อาการท้องผูก โดยให้ใช้ดอกชุมเห็ดเทศสดสัก 2-3 ช่อ ต้มรับประทานกับน้ำพริก หรือนำใบชุมเห็ดเทศสดมาล้างให้สะอาด หั่นตากแห้ง ใช้ต้มหรือชงน้ำดื่ม ครั้งละ 12 ใบ
  • สามารถใช้รักษาโรคกลาก โดยให้ใช้ใบชุมเห็ดเทศสด ตำให้ละเอียด เติมน้ำเล็กน้อยแล้วนำไปทาตรงที่กลากขึ้น (ก่อนทาให้เอาไม้ขูดผิวให้แดงก่อน) โดยให้ทาทุกวันจนกว่าจะหาย
  • สามารถโรคฝีหรือแผลพุพอง โดยให้ใช้ใบชุมเห็ดเทศ และก้านชุมเห็ดเทศสด 1 กำมือ ต้มกับน้ำพอท่วมยา แล้วเคี่ยวให้เหลือ 1 ใน 3 แล้วนำมาชะล้างบริเวณที่เป็นโรค วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ถ้าเป็นมากให้ใช้ประมาณ 10 กำมือ ต้มอาบ
credit samonpri.blogspot.com

กินหอมแดงป้องกันโรคหัวใจ


       นักวิจัยมหาวิทยาลัยในฮ่องกง พบประโยชน์ของหอมแดง ซึ่งเป็นเครื่องปรุงอาหาร ทั้งในเอเชีย และเมดิเตอร์เรเนียนว่า ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ โดยช่วยกำจัดไขมันเลว ซึ่งเป็นตัวการทำให้หัวใจวายและอัมพฤกษ์ อัมพาตออกจากร่างกาย และรักษาไขมันดีไว้ เป็นการป้องกันโรคหัวใจ
หัวหน้าคณะนักวิจัย เชิน ยู เชน กล่าวว่า “แม้ว่าจะมีการวิจัยหัวหอมอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังคงไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับยีนของมนุษย์ และมีบทบาทเกี่ยวกับการเผาผลาญอาหารในร่างกายอย่างไร การศึกษาครั้งนี้นับเป็นการศึกษาความเกี่ยวพันของหอมแดงกับหน้าที่ทาง ชีววิทยาหนแรก”
นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษา โดยการป้อนหนูที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่มีคอเลสเทอรอลสูง แล้วให้กินหอมแดงที่ทุบแล้ว พบว่าหลังจากทำมา 2 เดือน ระดับคอเลสเทอรอลเลวลดลงโดยเฉพาะร้อยละ 20 โดยที่ระดับคอเลสเทอรอลดีไม่เปลี่ยนแปลง
หัวหน้านักวิจัยกล่าวในที่สุดว่า “ผลของการศึกษาได้สนับสนุนข้ออ้างที่ว่า การกินหัวหอมประจำจะช่วยลดอันตรายของโรคหัวใจชนิดเส้นเลือดมาเลี้ยงหัวใจอุดตันได้”

ที่มา :
 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

มะนาวกับสุขภาพ


     มะนาว เป็นผลไม้ที่อยู่คู่ครัวไทยมานาน นอกจากจะเป็นเครื่องปรุงอาหารรสแซบที่หลายคนขาดไม่ได้ยังมีประโยชน์อีกมาก มาย เช่น เป็นเครื่องดื่มแก้กระหาย เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง สมุนไพร ทำเป็นน้ำยาล้างจานรักษาความสะอาด เครื่องหอมดับกลิ่น     ที่สำคัญในทางการแพทย์ น้ำมะนาวสามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมของยารักษาโรคได้ เช่นโรคลักปิดลักเปิด ยาแก้ไอขับเสมหะ หลายคนคงรู้จักดีว่าต้องบีบหรือคั้นน้ำ ผสมน้ำผึ้ง แล้วจึงใส่เกลือเล็กน้อยเพื่อให้จิบบ่อย ๆ ก็จะช่วยได้เป็นอย่างดี หรือจะใช้เป็นยาทาแก้กลาก เกลื้อน หิด ด้วยการบีบน้ำมะนาวผสมผงกำมะถันทาก่อนนอน ทาแก้น้ำกัดเท้าก็ได้ด้วย
     สำหรับเปลือกของมะนาว ก็มีประโยชน์ไม่แพ้กันแม้จะมีรสขม ช่วยขับลม รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ซึ่งวิธีใช้โดยการนำเปลือกสดของมะนาวประมาณครึ่งผล คลึงให้น้ำมันออกมาแล้วฝานบาง ๆ ชงกับน้ำร้อนดื่มเวลามีอาการหรือหลังอาหาร 3 เวลา 
นอกจากนี้ มะนาวยังสามารถสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ร่างกายได้ด้วย เช่น ช่วยลดและควบคุม คอลเลสเตอรอลในเลือดซึ่งเป็นไขมันไม่ดี จะทำให้ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเป็นอย่างดีโดยเฉพาะผู้หญิงวัยทอง ในระยะหลังมีผลงานวิจัยจากต่างประเทศหลายชิ้นงานที่ระบุว่า น้ำมะนาวเข้มข้นมีฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ปอด ช่องปาก กระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านมได้อีกด้วย
     นับว่าผลไม้ลูกเล็กๆ นี้มีประโยชน์อเนกอนันต์ จงใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย ยังสร้างรายได้ให้ชาวไร่ชาวสวน ในขณะเดียวกันการปลูกมะนาวก็ยังส่งผลต่อการรักษาสภาพดิน น้ำ เรียกว่าส่งเสริมการใช้การกินมะนาวได้ประโยชน์ทั้งคน และสิ่งแวดล้อม ใครที่ไม่ชอบก็ต้องหัด ใครที่ชอบก็ส่งเสริมให้กินให้ใช้มะนาวแท้ ๆ อย่าไปใช้มะนาวเทียม หรือ น้ำอัดลมรสมะนาว เพราะนั่นจะไม่ได้ประโยชน์อย่างที่ต้องการแล้วอาจมีโทษแทรกมาอีกด้วย


credit samonpri.blogspot.com